ประวัติการพิมพ์ในต่างประเทศ

 ประวัติการพิมพ์ในต่างประเทศ

      แรกเริ่มนั้น ในสมัยอารยธรรมประวัติศาสตร์ยุคแรก ๆ กลุ่มประเทศเมโสโปเตเมีย ได้รู้จักการใช้ของแข็งกดลงบนดินทำให้เกิดเป็นลวดลายตัวอักษร เรียกว่า อักษรลิ่ม (Cuneiform) ซึ่งมีอายุประมาณ 5,000 ปีก่อนคริสต์กาล ประมาณ 255 ปีก่อนคริสต์กาล ในภูมิภาคแถบเอเชียตอนกลางและจีน ได้รู้จักการแกะสลักดวงตราบนแผ่นหิน กระดูกสัตว์และงาช้าง เพื่อใช้ประทับลงบนดินเหนียว บนขี้ผึ้งซึ่งอาจกล่าวได้ว่า เป็นต้นตอของแม่พิมพ์ Letter Press โดยจะเห็นได้จากพงศาวดารจีนโบราณองค์จักรพรรดิจะมีตราหยกเป็นตราประจำแผ่นดิน

    ค.ศ.105 ชาวจีนชื่อ ไซลั่น คิดวิธีทำกระดาษขึ้นมาได้ และได้กลายเป็นวัสดุสำคัญเท่ากับการเขียนและการพิมพ์ในเวลาต่อมา ในปี ค.ศ.175ได้มีการใช้เทคนิคพิมพ์ถู (Rubbing) ขึ้นในประเทศจีน โดยมีการแกะสลักวิชาความรู้ไว้บนแผ่นหิน เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ที่สนใจได้นำกระดาษมาวางทาบบนแผ่นหินแล้วใช้ถ่านหรือสีทาลงบนกระดาษ สีก็ติดบนกระดาษส่วนที่หินนูนขึ้นมา เทคนิคนี้ดูจะเหมือนกับการถู ลอกภาพรามเกียรติ์ที่แกะสลักบนแผ่นหินอ่อนที่วัดโพธิ์ในทุกวันนี้             

   ในประเทศทางตะวันตกนั้น ก็ได้มีผู้ที่คิดค้นวิธีพิมพ์อย่างเป็นระบบเป็นคนแรกจนได้รับการยกย่องว่าเป็นบิดาของการพิมพ์คือ โจฮัน กูเต็นเบิร์ก (Johann Gutenberg) เพราะเขาได้ประดิษฐ์แท่นพิมพ์ พัฒนาแม่แบบสำหรับหล่อตัวพิมพ์โลหะเป็นตัว ๆ สามารถที่จะเรียงเป็นคำ เป็นประโยคและเมื่อใช้พิมพ์ไปแล้วก็สามารถนำกลับมาเรียงใหม่ เพื่อใช้หมุนเวียนได้อีก ซึ่งเรียกว่าเป็นวิธี Movable ตลอดจนการค้นคิดวิธีการทำหมึกที่ได้ผลดีสำหรับใช้กับตัวเรียงโลหะ ผลงานอันมีชื่อเสียงของกูเต็นเบิร์กคือ คัมภีร์ 42 บรรทัด เมื่อปี ค.ศ.1455 นั่นเอง  ต่อมา ใน ค.ศ.1495 Albrecht Durer ศิลปินแกะไม้ชาวเยอรมัน ซึ่งเคยเป็นจิตรกรช่างเขียนภาพได้คิดวิธีพิมพ์จากแม่พิมพ์ทองแดง (Copper plate engraving) โดยการใช้ของแหลมขูดขีดให้เป็นรูปรอยบนแผ่นทองแดง และใช้พิมพ์แบบ Gravure เป็นครั้งแรกในเยอรมัน ต่อมีในปี ค.ศ.1793 ชาวเยอรมันชื่อ Alois Senefilder ได้ค้นพบวิธีการพิมพ์หิน (Lithography) ซึ่งเป็นวิธีการพิมพ์แบบพื้นราบ (Planographic printing) ขึ้นเป็นครั้งแรก

    ค.ศ.1904 Ira Washington Rubel ช่างพิมพ์ชาวอเมริกันได้สังเกตเห็นว่า ในการป้อนกระดาษเข้าพิมพ์โดยแท่น Cylinder press บางครั้งลืมป้อนกระดาษเข้าไป หมึกจะพิมพ์ติดบนลูกกลิ้งแรงกด และเมื่อป้อนกระดาษแผ่นถัดไปหมึกบนตัวพิมพ์จะติดบนกระดาษหน้าหนึ่ง แต่หมึกบนลูกกลิ้งจะติดกระดาษอีกหน้าหนึ่ง เมื่อสังเกตดูแล้วพบว่า หมึกที่ติดบนลูกกลิ้งก่อนที่จะติดบนกระดาษนั้นจะมีลักษณะสวยงามกว่าหมึกที่พิมพ์จากตัวพิมพ์ไปติดกระดาษโดยตรง จึงได้คิดวิธีพิมพ์ระบบ Off set printing ขึ้น  และใน ปี ค.ศ.1907 Samuel Simon แห่งเมือง Manchester ได้ปรับปรุงการพิมพ์ระบบ Silk screen และจดทะเบียนลิขสิทธิ์ที่ประเทศอังกฤษ

       หลังจากที่กูเตนเบิร์กได้พัฒนาการพิมพ์ได้แล้วกว่า 180 ปี การพิมพ์ในประเทศสหรัฐอเมริกา จึงได้เริ่มขึ้น ในราวปี พ.ศ. 2181   ปี พ.ศ.2356 ยอร์จ อี. ไคลเมอร์ ชาวอเมริกัน แห่งเมือง ฟิลาเดลเฟีย ได้คิดแท่นพิมพ์โคลัมเบียน (columbian press) เป็นเครื่องพิมพ์ระบบคานกระเดื่อง ซึ่งเปลี่ยนจากการหมุน แกนกลางมาเป็นการกดลงด้วยคานแบบเดียวกับที่ใช้ทับกล้วย ซึ่งเบาแรง แต่มีกำลังมากกว่าเครื่องพิมพ์ ชนิดนี้ประดับประดาอย่างสวยงาม โดยเฉพาะจะมี นกอินทรีย์และจระเข้อยู่ด้วยแท่นพิมพ์โคลัมเบียน (columbian press)

          ต่อมาใน ปี พ.ศ.2401 ยอร์จ พี. กอร์ดอน ชาวอเมริกัน แห่งเมืองนิวยอร์ค ได้แม่พิมพ์เพลเตน (platen press) ซึ่งส่วนที่ทำการกดพิมพ์จะเป็นแผ่นราบ เวลาพิมพ์แรงกดจะวิ่งเข้าหาแม่พิมพ์ โดยตัวแม่พิมพ์จะอยู่กับที่ ตัวแรงกดจะเป็นที่สำหรับวางกระดาษที่ต้องการจะพิมพ์ และ ในปี พ.ศ.2447 อิรา วอชิงตัน รูเบล  ช่างพิมพ์ ชาวอเมริกันได้สังเกตเห็นว่าในการป้อนกระดาษบนแท่นพิมพ์ทรงกระบอก (cylinder press) บางครั้งป้อนกระดาษไม่ทันหมึกจะพิมพ์ติดไปบนลูกโมแรงกดเมื่อป้อนกระดาษแผ่นต่อไปหมึกบนแม่พิมพ์จะติดบนกระดาษด้านหนึ่ง แต่หมึกที่ขาดอยู่บนลูกโมแรงกดจะติดมาบนกระดาษ อีกด้านหนึ่ง เมื่อหยิบกระดาษมาดูหมึกที่ติดมาจากลูกโมแรงกดจะมีลักษณะสวยงาม นุ่มกว่า หมึกที่ผ่านจากตัวพิมพ์ไปติดบนกระดาษโดยตรง จึงได้เป็นแนวคิดของการพิมพ์ในระบบออฟเซต (offset printing) ขึ้น

ความคิดเห็น